สัมภาษณ์นักศึกษาไทย
วิคกี้..
ผมตั้งใจจะมาเรียนอินเดียเพราะมีความชอบในประเทศอินเดียอยู่แล้ว จึงได้หาข้อมูลจากญาติๆที่เคยจบจากอินเดีย และได้ให้ทาง มจร. เป็นผู้ติดต่อประสานงานให้ เดิมทีตั้งใจจะมาเรียนต่อ ในสาชาปรัชญา ในระดับปริญญาโท แต่ทางรุ่นพี่แนะนำว่าไม่ควรเพราะไม่มีพื้นฐานมาเลย จึงเปลี่ยนไปสมัครสาขารัฐศาสตร์ แต่ก็ไม่ทัน จึงตัดสินใจมาเรียน คอร์สภาษา ใน University of Pune หลังจากเรียนไปได้สักหนึ่งเดือน จึงได้รู้จักกับรุ่นพี่ ที่ Deccan College จึงตัดสินใจย้ายมาเรียนด้านภาษาศาสตร์ (Linguistics) ที่ Deccan college เพราะถือว่าที่นี่มีชื่อเสียงทางด้านภาษศาสตร์อย่างมาก.
ถือว่าตัดสินใจไม่ผิด เพราะที่นี่ การเรียนการสอนเข้มข้น ครูบาอาจารย์มีความเป็นกันเอง อย่างมากและเอาใจใส่นักเรียนทุกคน เพราะนักเรียนที่นี่มีจำนวนไม่มาก และมีรุ่นพี่แนะแนวทางให้ ว่าควรจะเตรียมตัวสอบอย่างไร
ใครที่จะมาเรียนที่อินเดีย จะต้องมีข้อมูลพร้อมและเชื่อถือได้จริงๆ ต้องถามด้วยว่าคนที่ให้ข้อมูลเรา เคยมาเรียนที่อินเดียไหม? ใช่เมืองที่เราจะไปหรือเปล่า? จบจากอินเดียมากี่ปีแล้ว? เพราะว่าข้อมูลนั้นมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าใครไม่เคยมาจริงๆ อย่าเชื่อคำแนะนำดังกล่าวเด็ดขาด .
ดี้
ที่มาเรียนอินเดียเพราะอาจารย์ที่รู้จักกันที่ มจร. และอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่เคยมาเรียนอินเดียแนะนำมา ทำให้สนใจอยากมาเรียน และต้องการเพิ่มพูนภาษาอังกฤษด้วย แต่มาครั้งแรกรู้สึกแย่มากเพราะความแตกต่างหลากหลายของผู้คนที่นี่ ที่แตกต่างจากบ้านเรามาก ความเป็นตัวของตัวเองอย่างมากของคนที่นี่ แตดีที่มีรุ่นพี่เรียนอยู่ที่เดคกันหลายคนที่ได้ให้คำแนะนำ และให้แนวทางในการศึกษา จึงสามารถปรับตัวได้
ปัญหาที่พบที่นี่ส่วนใหญ่เป็นปัญหาสาธารณูปโภค โดยเฉพาะไฟที่ดับบ่อย และน้ำปะปาที่ไม่ค่อยไหล เพราะคนที่นี่มีจำนวนมาก ส่วนการปรับตัวอื่นๆ ก็มีปัญหาบ้าง ต้องใช้เวลาสักหน่อย ราว 6 เดือนก็สามารถปรับตัวได้ ส่วนด้านภาษามาใหม่ๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องอาศัยฟังทุกวัน การอยู่ที่หอก็ช่วยให้เราได้เพื่อนต่างชาติฝึกภาษาด้วยกัน ภาษาเราก็จะได้โดยอัตโนมัติหลัง 6 เดือนขึ้นไป
ปัญหาของคนที่เรียนข้ามสาขาวิชาส่วนใหญ่ ที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อน ทำให้เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง สำหรับผมจบสายสังคมศาสตร์มา แต่เปลี่ยนมาเรียนสาขาภาษาศาตร์ ซึ่งถึงแม้จะเปลี่ยนสาขาแต่ก็ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้อย่างรู้เรื่องมากขึ้น เพราะสาขานี้จะปูพื้นฐานให้เราได้เข้าใจภาษาอังกฤษได้มาก
ซึ่งการมาเรียนที่นี่ถือว่าเป็นโอกาสดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่ๆ การศึกษาด้านภาษาศาตร์ ช่วยให้เราออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง และที่เดคกันคอลเลจ ก็เป็นสถาบันที่เก่าแก่ มีชื่อเสียงมาก่อนในด้านภาษาศาสตร์ มีรุ่นพี่เราหลายคนจบที่นี่ และสาขาภาษาศาสตร์ที่นี่นับว่ามีชื่อเสียงเป็นอันดับสองของอินเดีย รองจากมหาวิทยาลัยเยาวหราลเนรู
คนที่เรียนจบมาจากสาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษโดยตรง ถ้าต้องการศึกษาภาษาอังกฤษควรมาเริ่มต้นที่ภาษาศาสตร์ก่อน ซึ่งจะได้พื้นฐานการออกเสียงภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์ และพื้นฐานภาษาอังกฤษ ซึ่งจะได้ทั้งระดับพื้นฐาน ระดับปานกลาง และระดับก้าวหน้า ซึ่งมีให้เลือกเรียนได้
แพร
จบปริญญาโทโบราณคดีทีเดคกันคอลเลจ ขณะนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขาวิชาเดียวกันและในมหาวิทยาลัยเดิม แรกเริ่มมาเรียนปริญญาโทจากการแนะนำของอาจารย์ที่ศิลปากร ว่าถ้าอยากเชี่ยวชาญด้านโบราณคดีในเอเชียใต้ต้องมาเรียนที่นี่ เพราะมีชื่อเสียงมาก โดยติดต่อผ่านเพื่อนคนไทยที่นี่ให้สมัครเรียนให้
ตอนมาเรียนครั้งแรกปัญหาสำคัญคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะฟังสำเนียงแขกไม่รู้เรื่องเลย เขียนก็ยังไม่ได้ ก็เลยต้องขยันเรียนให้มากๆ และคบเพื่อนต่างชาติเยอะๆ เพื่อพัฒนาภาษา หลังจาก 3 เดือนขึ้นไปก็เริ่มพูด เขียนได้บ้าง แต่ก็ยังติดขัด กว่าจะเข้าที่เข้าทางต้องใช้เวลาเป็นปี ส่วนการปรับตัวอื่นๆ ไม่มีปัญหา เพราะมีเพื่อนคนไทยที่นี่หลายคนทำให้ไม่ลำบากในการปรับตัว
เดคกันเป็นสังคมขนาดเล็ก ทุกคนรู้ัจักกันหมด ต่างจากในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ที่ขาดความใกล้ชิดกัน บรรยากาศที่นี่สงบเงียบเหมาะกับการศึกษามาก
สำหรับคนที่สนใจศึกษาด้านประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีในเอเชียใต้ ถ้ามาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอนเพราะบุคลากรผู้สอนที่นี่มีพร้อมทั้งประสบการณ์ และคุณวุฒิ รวมทั้งมีห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มี หนังสือด้านโบราณคดีมากมายให้ขนขวายหาความรู้